ยินดีต้อนรับสู่ห้องสมุดประชาชน"เฉลิมราชกุมารี"อำเภอวิเศษชัยชาญ เปิดบริการ ตั้งแต่เวลา 8.30 - 17.00 น.ทุกวัน ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์

ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

แนะนำจังหวัดอ่างทอง


จังหวัดอ่างทองเป็นจังหวัด"ท้องทุ่งนาข้าว" ในภาคกลางของประเทศไทย อยู่เหนือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อยเป็นแม่น้ำสายหลัก วิถีชีวิตของผู้คนยังมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมสยามในยุคที่เรายังเดินทางโดยใช้เรือผ่านคูคลองเป็นหลัก ปลูกบ้านและทำการเพาะปลูกอยู่ริมน้ำ
คำขวัญของจังหวัด ก็มาจากสาระสำคัญของเมืองอ่างทองคือ "พระสมเด็จเกษไชโย หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ วีรไทยใจกล้า ตุ๊กตาชาววัง โด่งดังจักสาน ถิ่นฐานทำกลอง เมืองสองพระนอน "

สมเด็จเกษไชโย ก็คือ "พระเครื่อง" ที่เชื่อว่าสร้างขึ้นโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ทั้งที่วัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย และวัดโพธิ์เกรียบ อันเป็นบ้านของมารดา ริมแม่น้ำน้อย อำเภอโพธิ์ทอง ครับ
หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ คือพระประธานใน
วัดไชโยวรวิหาร พระนามว่า "พระมหาพุทธพิมพ์" ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริไว้ว่า "มีพระพักตรเหมือนดังขรัวโตยิ่งนัก"
วีรไทยใจกล้า คือ วีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระเอกาทศรถ ที่ตามพงศาวดารว่าไว้ว่า "ทรงยกทัพมาประชุมพลที่ป่าโมก เสด็จนมัสการพระพุทธไสยาสน์" นายดอกและนายทองแก้ว สองขุนศึกในค่ายบางระจัน เจ้าแม่ช่อมะขามภรรยานายขนมต้ม

ตุ๊กตาชาววัง งานหัตถกรรมชิ้นเอกของบ้านบางเสด็จ อำเภอป่าโมก ของเล่นเด็กที่เกิดจากจากพระราชเสาวนีย์ในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ
โด่งดังจักสาน หมู่บ้านหัตถกรรมจักสานไม่ไผ่ที่บ้านบางเจ้าฉ่า ตาม เรื่องใน Blog เดิมนั่นแหละครับ
ถิ่นฐานทำกลอง ใครจะรู้บ้าง ว่าเมืองอ่างทองเป็นแหล่งผลิตกลองพื้นบ้านเพื่อส่งออก ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อยู่ที่ตำบลเอกราช อำเภอป่าโมกครับ
เมืองสองพระนอน เมืองอ่างทองเป็นที่ตั้งของสองพระนอนใหญ่ ใน 4 แห่งทั่วพระราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา แห่งหนึ่งอยู่ที่วัดพระนอน เมืองเพชรบุรี อีกแห่งอยู่ที่วัดพระเชตุพน ฯ กรุงเทพมหานคร อีกสองแห่งอยู่ที่เมืองอ่างทองนี่แหละครับ ที่วัดขุนอินทประมูล และวัดพระนอนวัดป่าโมกวรวิหาร
จากเรื่องราวแปลความในคำขวัญของจังหวัด ผมขอพาท่านเริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ตามเส้นทางถนนสายเอเชีย ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร ผ่านพระนครศรีอยุธยา ก็จะมาถึงจังหวัดอ่างทอง เดินทางเลยขึ้นเหนือไปอีกนิด เพื่อเที่ยวไล่จากที่เหนือสุดของจังหวัดก่อนแล้วค่อยไล่เก็บลงมา นั่นคือเริ่มไปนมัสการพระมหาพุทธพิมพ์ พระคู่บ้านคู่เมือง ที่วัดไชโยวรวิหาร เป็นแห่งแรก
ในวัดมีวิหารเล็กของสมเด็จโตองค์ใหญ่หันหน้าออกแม่น้ำเจ้าพระยา หาซื้อของฝากเป็น "สมุนไพรแช่อิ่ม" สินค้าแปรรูปเกษตรปลอดสารพิษอันขึ้นชื่อของอำเภอไชโยเขาครับ
จากวัดไชโยวรวิหาร เดินทางล่องลงมาตามเส้นทางถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา มาที่อำเภอโพธิ์ทอง แวะเข้าเที่ยวชมบ้านบางเจ้าฉ่า หมู่บ้านจักสานไม้ไผ่
ระหว่างทางท่านอาจจะพบแผงปลาแดดเดียว ปลาช่อนและสลิด ที่ดูน่ารับประทานเป็นของฝากหรืออาหารเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน
บ้านบางเจ้าฉ่า เป็นตัวอย่างของชุมชนชาวนาในภาคกลางในอดีต ที่มีวิถีชีวิตแบบพึ่งพาตัวเอง ทำจักสานเครื่องมือเครื่องใช้ได้เองในครัวเรือน แต่ปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปมากครับ ส่วนที่เหลืออยู่ได้ก็เพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริในคราวเสด็จพระราชดำเนินตรวจเยี่ยมราชฎรจากวิกฤตภัยแล้ง เมื่อปี 2519 และพระดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ให้ส่งเสริมการปลูกไผ่สีสุกเพื่อการอนุรักษ์ในหมู่บ้าน

จากพระมหากรุณาธิคุณ ในวันนี้บ้านบางเจ้าฉ่า วัดยางทอง จึงได้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงเกษตรกรรม เชิงนิเวศและหมู่บ้านหัตถกรรมจักสานที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพักแรมในชุมชน หรือที่เรียกว่าโฮมสเตย์ (Home Stay) ชาวบ้านจึงร่วมมือกันในการสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยว ทั้งพิพิธภัณฑ์เครื่องใช้ไม้ไผ่ การสาธิตและการสัมมนาการเพื่อการพึ่งตนเอง
นอกจากนี้ หากใครไปเที่ยวในวันเสาร์ - อาทิตย์ หรือเดินทางไปเป็นหมู่คณะในวันธรรมดา แต่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ก็จะมีบริการ "รถอีแต๋นทัวร์" รับรองการเดินทางเที่ยวชมภายในหมู่บ้าน รอบหมู่บ้าน ริมแม่น้ำน้อย และชมไม้ยางสูงใหญ่ของวัดยางทอง
นอกจากการท่องเที่ยวในหมู่บ้านแล้ว ยังมีศูนย์สินค้าหัตถกรรมจักสาน ที่มีงานจักสานไม้ไผ่เป็นเครื่องใช้ประยุกต์ ทั้งกระเป๋าสตรี ตระกร้า เครื่องใช้ เครื่องประดับลวดลายศิลปะจักสาน สีสันสวยงาม

สินค้าจักสานที่ผลิตที่บ้านบางเจ้าฉ่านี้ ส่งออกไปต่างประเทศตาม Order ไม่ทันครับ!!!
ที่สำคัญ กระบุงจักสานของบ้านบางเจ้าฉ่า ก็คือกระบุงที่ใช้ในพระราชพิธีแรกนาขวัญ ที่ท้องสนามหลวง มายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว เป็นความภาคภูมิใจอย่างเงียบ ๆ ไม่กระโตกกระตากของชาวบ้านบางเจ้าฉ่าครับ !!!
จากบ้านบางเจ้าฉ่า เดินทางตามถนนสายโพธิ์ทอง – อ่างทอง ไปเยี่ยมบ้านสดแสงจันทร์ หรือบ้านเรือนไทยของครูประดิษฐ์ สดแสงจันทร์ ทายาทของบรมครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ หรือ " คีตกวีเทวดา" จางวางมหาดเล็กมือประชันระนาดสามยุค ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 จนถึงรัชกาลที่ 8
บ้านสดแสงจันทร์ แถวริมแม่น้ำน้อย เปิดสอนและถ่ายทอดการบรรเลงดนตรีไทย ระนาด ตะโพนและวงปี่พาทย์ รวมทั้งจัดวงดนตรีไทยเพื่อแสดงในงานมงคลและอวมงคลทั่วไป
บ้านสดแสงจันทร์ ยังเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ ที่รองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมาแล้วมากมายหลายรุ่นแล้วครับ
จากวัฒนธรรมดนตรีไทยชั้นครู เราเดินทางต่อไปยัง "โรงพยาบาลเรือ" วัดสุวรรณราชหงษ์ โรงซ่อมเรือใหญ่แห่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในลุ่มน้ำน้อย
เจ้าอาวาสยังคงต้องการให้มีการรักษาประเพณีดั่งเดิมของการแข่งเรือของชาวแม่น้ำน้อยไว้ จึงได้ใช้พื้นที่ของวัดเป็นอู่ซ่อมเรือ นานาชนิด แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เรือชาวบ้านเลยครับ
ก่อนจากลาแม่น้ำน้อยกลับไปเที่ยวฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา หลายครั้งที่ผมมีโอกาสได้ล่องเรือแพ เพื่อเที่ยวชมวิถีชีวิตพื้นบ้านริมฝั่งน้ำ จากเรือแพลากซึ่งมีอยู่เพียงเจ้าเดียว เรือแพจะเริ่มเดินทางจากอำเภอวิเศษชัยชาญ ทวนน้ำขึ้นเหนือไปทางอำเภอโพธิ์ทอง สองฝั่งน้ำเราจะแลเห็น ชุมชนตลาดเก่า เง่าเต๊งเก่า ตลาตาฉั่ว ศาลเจ้าพ่อกวนอู ศาลเจ้าพ่อบึงเถ้ากง ผ่านคุ้งน้ำแรกไป เป็นบ้านโบราณไม้สักเรือนปั้นหยาของข้าหลวงเก่าเด่นสง่าอยู่ริมน้ำครับ
เรือแพผ่านตัวอำเภอออกไป จะเห็นอดีตโรงสีข้าว ทั้งที่ร้างไปแล้วและยังคงดำเนินการอยู่ เป็นร่องรอยของวัฒนธรรมข้าว ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าข้าวตามลำแม่น้ำน้อยในอดีตครับ ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นรถบรรทุกไปหมดแล้ว มองไปสองฝั่งแม่น้ำ เห็นบ้านเรือนหลากหลายรูปแบบ เห็นยอใหญ่ที่ดักปลา เรียงรายไปตามลำน้ำ
กุ้งแม่น้ำ ปลาตะเพียน ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลาเค้า ปลาสวาย ปลาเทโพ และปลานานาชนิดก็ยังติดลอบติดแหให้เห็นตลอดสองฝั่
งทาง !!!
แวะเที่ยววัดสี่ร้อย ที่นี่ขนมข้าวเม่าทอดอร่อยไม่เป็นรองใคร แล่นไปเรื่อย ๆ แวะเที่ยวชมวัดพระปรางค์ ที่ที่เชื่อกันว่า พระเจ้าเสือเคยแอบปลอมพระองค์มาชกมวยกับชาวบ้าน หรือพระองค์จะมาพบกับพันท้ายนรสิงห์ที่นี่ ก็ไม่แน่ใจ ?
ล่องเรือแพตามแม่น้ำน้อย ต้องจองคิวเรือแพลากก่อนนะครับ จองอย่างไรเดี๋ยวจะบอกตอนท้ายเรื่อง !!!

จากแม่น้ำน้อย อำเภอโพธิ์ทอง แวะนมัสการพระไสยาสน์ใหญ่วัดขุนอินทประมูล ที่นี่มีเรื่องเล่ากันว่า ขุนอินทประมูล เจ้าภาษีได้โกงเงินหลวงมาสร้างต่อเติมองค์พระให้ยาวขึ้น เมื่อสืบความก็ไม่ยอมรับ เพราะเกรงว่าบุญกุศลที่ตนทำไว้ จะหายไปจนหมดสิ้นหากสารภาพผิด จึงถูกประหารชีวิต มีโครงกระดูกจำลองวางอยู่ในศาลาด้านพระบาทขององค์พระนอน เพราะเคยมีคนขุดพบโครงกระดูกในบริเวณวัด จึงเชื่อกันต่อมาว่า เป็นโครงกระดูกของขุนอินครับ
จากพระนอนวัดขุนอินทประมูล เดินทางต่อไปยังอำเภอป่าโมก อำเภอใต้สุดของจังหวัดอ่างทอง แวะเข้าชมหมู่บ้านทำกลอง บ้านเอกราช ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เพราะที่นี่ผลิตกลองคุณภาพมีมาตรฐาน เสียงดังกังวาน ไพเราะ ผลิตเป็นกลองประเภทต่าง ๆ เช่นกลองยาว กลองทอม กลองจีน (ที่นี่มีกลองยาวที่สุดในโลกด้วยครับ เพระที่อื่นเขาไม่ทำ ฮิ ฮิ)
ที่บ้านทำกลองป่าโมก นี้ เราสามารถเที่ยวชมขั้นตอนการผลิต การกลึงไม้ฉำฉา การขึ้นหนังหน้ากลอง และมีกลองขนาดเล็กเป็นของสินค้าที่ระลึกด้วยครับ
จากบ้านทำกลอง แวะนมัสการพระนอนวัดป่าโมกวรวิหาร แล้วมาสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวสืบสานวิถีพื้นบ้านไทย ที่บ้านบางเสด็จ แหล่งผลิต "ตุ๊กตาชาววัง" อันมีชื่อเสียงของจังหวัดอ่างทอง
ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จหรือศูนย์ตุ๊กตาชาววังในพระบรมราชินูปถัมภ์ ตำบลบ้านบางเสด็จ อำเภอป่าโมก อยู่ติดกับศาลาการเปรียญของวัดท่าสุทธาวาส เดิมชื่อบ้านวัดตาล ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาเมื่อปี 2518 จึงเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านมาเป็นบ้านบางเสด็จ และการเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ ให้ทำโครงการปั้นตุ๊กตาชาววังด้วยดินเหนียวขึ้นเป็นครั้งแรก
ชาวบ้านหลายครัวเรือนจึงเริ่มผลิตตุ๊กตาชาววังเป็นอาชีพเสริม จนทำรายได้ให้แก่ชาวบางเสด็จมีฐานะดีขึ้น จากหมู่บ้านเล็ก ๆ กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และเป็นของฝากที่หลายคนที่มาเยือนเมืองอ่างทองติดใจ ซื้อหากลับไปฝากเพื่อนฝูงและคนรู้จัก
ร้านจำหน่ายตุ๊กตาชาววังตั้งอยู่ที่ศาลาการเปรียญของวัดท่าสุทธาวาส เป็นเรือนไทยใต้ถุนสูง ใช้เป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าของศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ พูดกันว่า ถ้าเราได้ขึ้นไปชมของฝากเมืองอ่างทองชิ้นนี้แล้ว รับรองว่าต่อให้ใจแข็งแค่ไหนก็อดซื้อไม่ได้
ยิ่งพวกสาว ๆ ด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่าต้องเสียกะตั
งค์แน่ ๆ เพราะนอกจากจะสวยงามน่ารัก มีมากแบบให้เลือกสรรแล้ว ยังมีเรื่องราวเหตุการณ์ในวิถีชีวิตไทยโบราณ ถูกจำลองลงมาได้อย่างลงตัว เช่นการละเล่นของเด็ก เรือขายผลไม้ การทำบุญ ประเพณีความเชื่อ ฤาษีดัดตน ฯลฯ ราคาก็ถูกมาก ๆ แต่หากนำไปขายที่อื่น เช่นห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพ ฯ ราคาจะสูงขึ้น 3 – 4 เท่าตัวครับ
หากเดินทางตามเส้นทางนี้ ก็จะถึงเวลาเย็น พอดีกับระยะทางกลับกรุงเทพฯ ครับ
จริง ๆแล้ว จังหวัดอ่างทองไม่ได้มีของดีแค่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมพื้นบ้าน ที่ผมแนะนำนี้เพียงอย่างเดียวนะครับ อ่างทองยังมีแหล่งท่องเที่ยวเกษตรปลอดสารพิษ ท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบโฮสเตย์ริมแม่น้ำน้อย และท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ล่องแม่น้ำน้อยในช่วงหน้าน้ำ ชมวัดโบราณ ตลาดและบ้านเรือนสองฝั่งน้ำ จากอำเภอโพธิ์ทองลงมาอำเภอวิเศษชัยชาญ ซึ่งก็อยู่ในช่วงเดือนนี้แหละ (ถ้าไม่โดนผันน้ำมาท่วมเมืองอ่างทองเหมือนปีที่แล้ว ให้เดือดเนื้อร้อนใจกันอีก !!!)
หากท่านสนใจจะเดินทางมาพักผ่อนแบบวิถีพื้นบ้านไทย (Thai Folk Life Style) กับบ้านพักโฮมสเตย์และล่องเรือในแม่น้ำน้อย ขอเชิญติดต่อได้ที่ ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดอ่างทอง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตามหมายเลขโทรศัพท์ 0-3561-3032 ท่านจะความสะดวกอย่างสุด ๆ ในการจองบ้านพักโฮมสเตย์พร้อมล่องเรือเที่ยวแม่น้ำน้อย ยิ่งอ้างชื่อผมด้วยแล้ว รับรองไม่ผิดหวัง (อาจจะไม่ลดราคาแต่เพิ่มโปรแกรมและอาหารให้)
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น